แม้ว่า เครื่องมือหลักของ Data Scientist คือ การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Python หรือ R แต่การเขียนโปรแกรมในที่นี้ เป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อสร้าง Model หรือ ทำความเข้าใจข้อมูล ไม่ใช่การสร้าง Software ดังนั้น หน้าที่การทำงานของ Data Scientist จึงไม่เหมือนกับ Programmer
Programmer ส่วนใหญ่ มีหน้าที่ในการเขียน Code เพื่อสร้างระบบ หรือ Software เช่น เว็บไซด์ หรือ Application ซึ่ง Software Developer จะเรียนวิชาพื้นฐานด้านการออกแบบระบบ ไม่ว่าจะเป็น Software Architecture และอาจจะเรียน Network and Security เบื้องต้น ในขณะที่ Data Scientist จะเขียนวิชาพื้นฐานต่างๆ เป็นวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อเข้าใจพื้นฐานของการสร้าง Model และเรียนการเขียนโปรแกรมเพื่อเรียนรู้ข้อมูล ไม่ใช่เป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อสร้าง Software แต่อย่างใด
เหตุผลหนึ่งที่หลายคนสับสนว่า Data Scientist เหมือน หรือ แตกต่างกับ Programmer อย่างไร นั้นเพราะเครื่องมือของทั้งสองอาชีพ มันคือภาษาคอมพิวเตอร์ และคนที่จบ Computer Science สามารถเป็นได้ทั้ง Programmer และ Data Scientist
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนที่เรียนคณะเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่ามีวิชาเอกเป็นวิชาเดียวกัน เช่น สถาปนิกด้านอาคาร กับนักภูมิสถาปัตย์ (Landscape) ก็ต่างเรียนคณะสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกัน และเรียนวิชาพื้นฐานเหมือนกัน แต่จะมีการแยกสายเพื่อศึกษาวิชาเชิงลึกที่ไม่เหมือนกัน หรือแม้แต่แพทย์ศาสตร์ กับ ทันตแพทย์ ก็มีวิชาบางวิชาที่คล้ายกัน แต่มีวิชาเฉพาะทางที่ไม่เหมือนกัน
คนบางคน สามารถเป็นได้ทั้ง Programmer และ Data Scientist ได้ ก็เปรียบเสมือนคนที่มีความถนัดในหลากหลายสาขา
ทั้งนี้ การเป็น Data Scientist มิได้จำกัดแค่ว่าจะต้องจบมาจากคณะ Computer Science แต่อาจจะเป็นคณะอื่นๆ ที่มีการเรียน Pure Math และสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อสร้าง Model ได้ เช่น Operations Research หรือ Statistics โดยความสำคัญอยู่ที่การประยุกต์ใช้ศาสตร์ทางคณิตศาสตร์กับข้อมูล ในขณะที่การเขียน Code จะเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้ Data Scientist เข้าใจ Data ได้มากขึ้น แต่ถ้าไม่มีความรู้พื้นฐานด้าน Math ก็จะไม่อาจจะสามารถเขียน Code เพื่ออธิบายข้อมูลที่ดีได้
หลายอาชีพกำลังเปลี่ยนแปลงไป ตามเทคโนโลยี และความต้องการในตลาดแรงงาน ซึ่งดูเหมือนว่า ตลาดแรงงานจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วกว่าที่ระบบการศึกษาจะปรับตัวทัน ส่งผลให้เกิดช่องในการสมัครงานเกิดขึ้น และกลายเป็นว่าคอร์สออนไลน์ต่างๆ จะตอบโจทย์เหล่านี้ได้มากกว่าการสอนในมหาวิทยาลัยที่ใช้เวลามากกว่า และยังมีค่าใช้จ่ายมากกว่า และสิ่งนี้เอง เป็นการ Disrupt ระบบการศึกษา ที่น่ากลัวอย่างมากและมหาวิทยาลัยจะต้องเร่งปรับตัว