หลายครั้งที่เราจะได้ยินว่า AI กำลังจะมาแทนที่งานของมนุษย์ ซึ่งก็อาจจะจริง และไม่จริง ในส่วนที่จริง ก็เพราะว่า งานบางส่วนที่ทำซ้ำๆ จะสามารถถูกแทนที่ด้วยระบบ หรือ AI เพราะให้เกิดงานที่มีเป็นระเบียบ และวัดผลได้มากขึ้น ในส่วนที่ไม่จริง ก็เป็นเพราะว่า งานบางประเภท เป็นงานที่ต้องใช้ทักษะของ “มนุษย์” เท่านั้น
นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของ AI นำพามาซึ่งงานใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น งานของนักพัฒนา AI หรือ แม้แต่นักการตลาด ที่ต้องใช้ทักษะ Digital ที่มากขึ้น
กลไกการพัฒนา AI เกิดจากการนำข้อมูลขนาดใหญ่ ที่มีคุณภาพ เป็นตัวต้นแบบในการสร้าง Machine Learning หลังจากนั้น เมื่อมีข้อมูลใหม่ๆ เกิดขึ้น Machine Learning จะเรียนรู้และส่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมา ก่อให้เกิดเป็นการกระทำ
หลายคนจึงเข้าใจว่า AI คือ Robot เพราะมันมีการกระทำเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ AI ต่างกับ Robot ก็คือ การที่ AI มีกลไกการเรียนรู้ ในขณะที่ Robot จะทำงานเท่าที่สั่งเท่านั้น
ความเป็นจริงแล้ว การพัฒนา AI นั้น มันไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดก็ตามที่มี “ข้อมูล” ใหม่ๆ เกิดขึ้น หรือมีสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น มนุษย์มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ดินฟ้าอากาศ หรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ในสังคม ทำให้ชุดข้อมูลที่เป็นต้นแบบของ AI ไม่เหมือนเดิม หรือแม้แต่ตัวระบบการ Learning ที่ต้องได้รับการแก้ไข จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่ว่า “มนุษย์” กับ “AI” สามารถทำงานร่วมกันได้
แนวคิด Augmented Intelligence จึงเกิดขึ้น โดยคำว่า Augmented หมายความถึง การเติมเต็มซึ่งกันและกัน ในที่นี้ คือ ระหว่าง AI กับ มนุษย์
ความแตกต่างระหว่าง Artificial Intelligence กับ Augmented Intelligence ต่างกันตรงที่การใช้งาน และการพัฒนาระบบ ถ้ามองว่าเป็น Artificial Intelligence หรือ AI แบบที่เราคุ้นเคย จะแยกส่วนกันระหว่างส่วนของการพัฒนา และการใช้งาน กล่าวถึง พัฒนาก็ส่วนของพัฒนา พัฒนาสำเร็จจึงส่งมอบมาในส่วนของการใช้งาน หากจะพัฒนาเพิ่มเติม ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับส่วนของการใช้งาน ในขณะที่ Augmented Intelligence จะเป็นส่วนเดียวกัน ทั้งพัฒนา และใช้งาน ทั้งนี้ แม้ว่าผู้ใช้งานจะไม่มีทักษะการเขียนโปรแกรม แต่ก็สามารถใส่ความต้องการ หรือวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเพื่อส่ง Feedback ให้เกิดการพัฒนาต่อได้
ดังนั้น กุญแจสำคัญของการเป็น Augmented Intelligence คือ “ผู้ใช้งาน” และ “ระบบที่มีความยืดหยุ่น” กล่าวคือ ผู้ใช้งานจะต้องมีความเข้าใจในกลไกของ AI และตัวระบบเองจะต้องยืดหยุ่นพอที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถร่วมปรับปรุง และพัฒนาระบบได้อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เนื่องจากระบบการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปของโลก ทุกวันนี้ ในประเทศต่างๆ เช่น อเมริกา จีน ญี่ปุ่น และในยุโรป มีการเรียนวิชา AI และเรียนโปรแกรม ตั้งแต่ ป.1 ส่งผลให้เทคโนโลยี AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็กนักเรียนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในอีก 15 ปี หลังจากนี้ เมื่อเด็กนักเรียนเหล่านี้เรียนจบเข้าสู่วัฏจักรของการทำงาน โลกของเราจะมีกลุ่มนักพัฒนา AI เกิดขึ้น และเทคโนโลยีต่างๆ ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
AI เป็นเครื่องมือ ที่จะทำให้มนุษย์มีความคล่องตัวมากขึ้น แต่ถ้าไม่สามารถเข้าใจกลไกของ AI ได้ ก็อาจจะเกิดเป็นความ “กลัว” ซึ่งสิ่งเดียวที่จะเอาชนะความกลัวได้ ก็คือ ต้อง “เรียนรู้” เพื่อก้าวข้ามผ่านความ “ไม่เข้าใจ” ให้จงได้